เรื่องของลมยางรถยนต์ เติมลมตอนไหนดีที่สุด ?
สำหรับการเติมลมยางรถยนต์นั้นถือว่าเป็นปัจจัยหลักในการดูแลรักษายางรถยนต์และระบบช่วงล่าง(ในทางอ้อม) เนื่องจากยางรถยนต์เป็นหน้าด่านปราการแรกที่รับสัมผัสกับพื้นถนน ดังนั้นถ้าหากขาดการดูแลที่ดี ก็จะเกิดผลเสียต่อรถยนต์หลายประการ
รู้หรือไม่ว่าการเติมลมยางนั้นจะต้องเติมตอนไหนดีที่สุด?
การเติมลมยางรถยนต์นั้นควรเติมลมยางในขณะที่ยางรถยนต์เย็นอยู่ เนื่องจากจะวัดค่าลมยางได้อย่างถูกต้องและแม่นยำกว่าขณะที่ยางรถยนต์ร้อน ซึ่งควรจะเติมช่วงเช้าหรือหลังจากรถอยู่ในที่ร่มประมาณ 2-3 ชั่วโมงถึงจะได้ผลดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นที่ต้องเติมลมยางในขณะที่ยางกำลังร้อนอยู่ ควรจะเติมเผื่อไว้ประมาณ 2 psi (พีเอสไอ) จากค่าที่กำหนดไว้ (ทั้งนี้ต้องเติมลมยางให้ตรงตามสเปครถและล้อที่ใส่ตามที่ติดอยู่ข้างประตูฝั่งคนขับ) หรือจะใช้วิธีในการเติมลมยางมากกว่านั้นเพียงเล็กน้อย จากนั้นค่อยมาวัดลมยางรถยนต์อีกทีและค่อยปล่อยลมออกให้พอดีตอนที่ยางรถยนต์นั้นเย็นแล้ว (วิธีนี้อาจดูยุ่งยากเล็กน้อย)
วิธีดูยางรถยนต์ว่าสามารถรับลมยางสูงสุดได้ที่เท่าไร?
ยางรถยนต์แต่ละเส้นสามารถดูค่ารับลมยางสูงสุด (MAX PRESS) ได้จากตัวเลขบนแก้มยางที่พิมพ์โดยผู้ผลิตยางแต่ละค่าย จากตัวอย่างรูปด้านบนตรงแก้มยางจะเห็นคำว่า "MAX PRESS. 35PSI" ซึ่งตัวเลขนี้บอกถึงแรงดันลมยางสูงสุดที่ยางเส้นนี้สามารถรับได้ ดังนั้นเวลาเติมลมยางไม่ควรให้เกิน ค่า Max Press ที่ระบุไว้บนแก้มยาง เพราะจะเกิดอันตรายขณะขับขี่และเสี่ยงต่อให้เกิดยางระเบิดสูงนั่นเอง
ถ้าลมยางอ่อนหรือแข็งเกินไปจะเกิดอะไรขึ้น?
- ลมยางอ่อนเกินไป
ถึงแม้จะรู้สึกถึงความนุ่มนวลมากขึ้นเวลาขับขี่ แต่ก็ตอบสนองช้าลง และทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อส่งกำลังให้รถยนต์เร่งไปข้างหน้า ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ และนอกจากนี้อาจทำให้แก้มยางเกิดการบิดตัวจนเกิดความร้อนมากขึ้นและแรงดันในลมยางจะขยายตัวมากขึ้นกว่าปกติอาจทำให้ยางผิดรูป ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการระเบิดได้
- ลมยางแข็งเกินไป
ถึงแม้จะรู้สึกถึงความตึงและตอบสนองบนผิวถนนที่ไวกว่าเวลาขับขี่ ทำให้รถออกตัวได้ดีขึ้น แต่อาจจะไปลดทอนในเรื่องประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนน โดยเฉพาะทางโค้งรวมถึงขณะเบรก มีผลทำให้อายุการใช้งานของยางรถยนต์นั้นสั้นลง เนื่องจากยางที่แข็งความยืดหยุ่นจึงน้อยลงทำให้รู้ถึงการสะเทือนหรือกระแทกมาถึงห้องโดยสารได้มากกว่า ซึ่งเป็นสาเหตุให้ระบบช่วงล่างของรถทำงานหนักและมีโอกาสชำรุดเสียหายได้
กรณีเดินทางไกล ควรจะต้องเติมลมยางอีก 3-5 psi และควรที่จะลดสัมภาระที่ไม่จำเป็นออกจากรถ เพราะยิ่งบรรทุกสัมภาระหนักแค่ไหนเครื่องยนต์ก็จะทำงานหนักตามนั้น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมา
สรุป:
เพราะฉะนั้นอย่างไรก็ตามปัจจัยสำคัญของแรงดันลมยางที่เหมาะสมกับรถยนต์ ขึ้นอยู่กับขนาดยาง, ขนาดรถ, ประเภทของรถ (ตามสเปกลมยางที่แปะข้างประตูฝั่งคนขับ) และลักษณะการขับของแต่ละคน ก็เพื่อความปลอดภัยขณะเดินทางและดึงประสิทธิภาพของยางรถยนต์และระบบช่วงล่างให้มากที่สุด แล้วอย่าลืมรถที่มียางอะไหล่ควรหมั่นตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมอให้พร้อมใช้งาน เมื่อถึงเวลาจำเป็นต้องใช้ยางอะไหล่